จะทำยังไง? เมื่อพ่อแม่ขอให้ผมเซ็นค้ำประกันเงินกู้ แต่แฟนห้าม

ตามหัวข้อเลยครับ คือน้องผมต้องการจะซ์้อบ้านในราคา1.3ล้านบาท จึงมีเหตุจำเป็นต้องกู้เงินกับธนาคาร



ในมุมมองของผมผมมองว่า การค้ำประกันมัน คือ การพึ่งพาซึ่งกันและกัน ผมพึ่งพาเงินของพ่อแม่มาครึ่งชีวิต การช่วยเหลือเพียงแค่เซ็นเพื่อแสดงความไว้วางใจจึงเป็นเรื่องที่เล็กน้อยสำหรับผม เพราะผมรู้จักน้องแท้ๆของผมดี การชิ่งหรือหนีประกันจึงไม่มีในหัวผมเลย(น้องของผมมีเงินเดือนมากกว่า25000บาท ซึ่งถือว่ามีความสามารถในการจ่ายแต่ละงวดได้สบายๆอยู่แล้ว และมีโอกาสก้าวหน้ามากกว่าผมซะอีก)

**แต่เรื่องมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น เมื่อแฟนผม ห้ามไม่ให้เซ็น เพราะเขามีมุมมองที่ว่า การเป็นผู้ค้ำประกันก็คือการเป็นหนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ
ผมไม่รู้จะทำยังไงดี? ถ้าเป็นคุณ คุณจะทำยังไง?

ปล.ตอนนี้ยังทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้อยู่ T^T
ปล2.ผมไม่ได้อยากเลิก เพราะแต่งงานกันมาเกือบ5ปีแล้ว แค่อยากหาวิธีคุยกับเขาให้เข้าใจเฉยๆ สำหรับผมเขากังวลเพียงเพราะเขาเป็นห่วงผม
แก้ไขข้อความเมื่อ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
โหเรื่องนี้พูดยากแฮะ​ แฟนคุณ​เค้าก็คงไม่แน่ใจอ่ะครับ​ ถ้าน้องคุณเบี้ยวหรือส่งไม่ไหวขึ้นมาเค้าก็ลำบากไปด้วย​ เห็นใจทั้งคู่​เลย​ ผมว่าคุณลองคุยกับแฟนคุณ​ว่าน้องมีสินทรัพย์เท่าไหร่​ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหา​แน่นอน​ หรือไม่ลองงี้ดูบอกแฟนว่าคุณจะใหน้องกันเงินจากเงินเดือนส่วนหนึ่งให้คุณเก็บด้วยทุกๆเดือน​เผื่อมีปัญหา​ถ้าไม่มีแล้วผ่อนใกล้หมดคุณ​ก็ให้น้องคุณเอาเงินก้อนนี้คืนไปโป๊ะ​ ถ้ามีปัญหา​คุณก็ยังมีก้อนนี้สำรองกันพลาดแฟนจะได้สบายใจขึ้น

ปล​ ห้ามทำไรคนเดียวนะเพราะคุณ​แต่งงานกันแล้ว​ ต้องเคลียร์​ก่อน​

ปล2 ผมก็สงสัยเหมือนกันทำไมต้องค้ำ​ด้วย​ แสดงว่าน้องคุณมีหนี้อื่นๆอีกแน่เลย​​ อันนี้ต้องระวังนะ​ครับ​
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 41
ผมไม่ใช่พวกโลกสวย ...
แปลกใจที่ ..... น้องของผมมีเงินเดือนมากกว่า25000บาท ซึ่งถือว่ามีความสามารถในการจ่ายแต่ละงวดได้สบายๆอยู่แล้ว และมีโอกาสก้าวหน้ามากกว่าผมซะอีก....แสดงว่าน้องคุณต้องมีเงินเดือนมากกว่า 25000 แน่ๆ แต่กู้เงิน 1.3 ล้านบาท ทำไม ต้องมีคนค้ำประกัน ???

เรื่องพี่ น้อง เมีย มันก็พูดยาก แต่คุณแต่งงานกันแล้ว มาตั้ง 5 ปี ผู้หญิงอุตส่าห์ มาเป็นคู่ชีวิตของเรา ต่างคนต่างเสียสละ ซึ่งกันและกัน ก็ต้องมีความเกรงใจกันพอสมเหตุผล ไม่มาก หรือไม่น้อยเกินไป ...อย่ามองว่าเขาคือนอก ...เขาเป็นแม่ของ ลูก ในวันนี้ หรือ ในอนาคต... น้องชาย ก็ทำงานเลี้ยงตัวเองได้ หาก ยังไม่พร้อม  ก็ไม่สมควรจะมีบ้าน โตๆ กันแล้ว รู้จักแก้ปัญหา ด้วยตนเอง ... ถ้าอยากช่วยเหลือ ให้เป็นเงินสดไปช่วยดาวน์ แทน

การค้ำประกัน อย่าลืม มีผลต่อ อนาคตเวลาคุณไปขออนุมัติสินเชื่อด้วย เป็นภาระหนี้ มันจะเป็นชนักติดตัวคุณไปจนกว่า น้องชายจะผ่อนหมด อีกหลายปี
ความคิดเห็นที่ 38
ฟันธง ... บอกทางบ้านว่า แฟนไม่ยอมครับ ... แล้วดูท่าที อีกที

น้องคุณ เขากำลังก่อร่างสร้างฐานะให้กับครอบครัวเขาเอง
ส่วนแฟนคุณเอง เขาก็มองถึงความมั่นคงของครอบครัวของเธอล่ะครับ ( ครอบครัวเธอ ก็มี แค่เธอ และ เจ้าของกระทู้ มั้ง)

หน้าที่ลูกที่ดี คือ แสดงความกตัญญู แก่บิดามารดา ถ้าท่านลำบากเราหาเลี้ยง ดูแลท่านไปตามกำลัง
เจ็บป่วยได้ไข้ ก็พาไปหาหมอ ให้การรักษา ดูแลกาย ดูแลใจของท่าน  

หน้าที่พี่ที่ดี น้องลำบาก ไม่มีที่อยู่เราให้อยู่ ไม่มีกินเรามีให้กิน ไม่สบายเราพาไปหาหมอ ... เช่นกัน

ดูจากการมาปรึกษา แปลว่า เจ้าของกระทู้ ไม่พร้อมรับภาระหนี้ส่วนนี้ ถ้าน้องไม่ยอมจ่ายแน่ๆ
ดังนั้น การรับค้ำประกัน ก็คือการยอมรับว่าเรามีกำลังในการรับผิดชอบ ภาระหนี้ที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่า เราจะได้ประโยชน์ด้วยหรือไม่ก็ตาม

เห็นหลายคนแนะนำว่า ยังไงก็ต้องช่วย ... ผมกลับมอง เหมือนเจอญาติจมน้ำ แล้วเราก็ว่ายน้ำไม่เป็น แต่ก็ยังมีคนเชียร์ให้เราโดดลงไปช่วย  
มันก็ตายกันทั้งสองคนเท่านั้นเอง

ถ้าคุณคิดอยากจะช่วย คำแนะนำเดียวคือ มีเงินเก็บที่พอช่วยเขาได้เท่าไหร่ก็ให้ไป ... เขาซื้อบ้าน ล้านสอง คุณช่วยสักแสน น้องคุณยังอาจ
ขอบใจมากกว่า เพราะค้ำประกันให้เขาไป ถ้าเขาผ่อนจนจบ เขาก็ระลึกเสมอว่า เขาได้มาด้วยแรงของเขาเอง
แต่ถ้า เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ... คำเดียวที่คุณจะได้จากคนรอบข้างคือ ขอโทษด้วย ที่คุณโชคไม่ดีจริงๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่